จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

ประวัติผู้จัดทำ


ชื่อ:  นางสาววิชญา   อิ่มประเสริฐสุข   ชั้น: ม.4/5    เลขที่:  40  โรงเรียน: สงวนหญิง 
 
เกิดวันที่:  3  มกราคม   พ.ศ. 2542      กรุ๊ปเลือด: โอ  

เบอร์โทรศัพท์: 088-5448052

E-mail: simmei_amijung@hotmail.com

เชื้อชาติ:ไทย    สัญชาติ: ไทย   ศาสนา: พุธ

บุคคลิก: หัวเราะง่าย ยิ้มเก่ง  หลับบ่อย

สีที่ชอบ : ม่วง ฟ้า ชมพู   สัตว์ที่ชอบ: แมว หมา  อาหารที่ชอบ:  ก๋วยเตี๋ยว กะเพาไก่ไข่ดาว

กิจกรรมที่ชอบ: ดูซีรีย์  ฟังเพลง  อ่านหนังสือ

คติสอนใจประจำตัว: อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน



ความเป็นมาของเว็บไซต์นี้

แบบเสนอหัวข้อการสร้าง Blog รายวิชา ง31101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี

ผู้เสนอ  น.ส. วิชญา    อิ่มประเสริฐสุข       ชั้น               ม. 4/5                        เลขที่               40      
ชื่อ blog ภาษาไทย   เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเจ้าเหมียว    ชื่อ blog ภาษาอังกฤษ  Interesting things about cats 
ที่อยู่ blog                                              http://naughtycatcats.blogspot.com                                              
ครูที่ปรึกษา 1.               ครูศิวาวุธ     ภาณุพิจารย์              


ที่มาและความสำคัญ
      ที่มาของ blog นี้ มาจากความชอบและสนใจในเรื่องเกี่ยวกับแมวของตัวผู้จัดทำ  อีกทั้งความน่ารัก ซุกซน ขี้เล่นของเข้าเหมียวทั้งหลายทำให้ตกหลุมรักได้ไม่ยาก  อยากหาข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจเกี่ยวกับแมวในเรื่องต่างๆ และอยากแบ่งปันให้ผู้ที่สนใจได้ความรู้ไปด้วย     จึงเกิดความคิดสร้างสรรค์และทำblog นี้ขึ้นมา                                         

วัตถุประสงค์ของการดำเนินงาน
1.    เพื่อหาความรู้เกี่ยวกับวิธีทำและการใช้งาน  blog        
2.    เพื่อค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแมว           
3.    เพื่อแบ่งปันความรู้ให้กับผู้อื่นที่สนใจ            

ซอฟแวร์ที่ใช้ในการพัฒนา
1.      Photoshop   CS3             
2.      PhotoScape                     

ขอบเขต
              ค้นคว้าข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับแมวในเรื่องที่หลากหลาย               

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.         ได้ความรู้ในการสร้างและใช้ blog                              
2.          ได้ความรู็เพิ่มเติมเกี่ยวกับแมว                                   
3.           ผู้ที่สนใจเข้าชมมีความพึงพอใจ                                

เลี้ยงแมว(s) อย่างไรให้รักกันและอยู่ร่วมกันได้


แมวประเภทไหนที่เหมาะจะเลี้ยงเพิ่ม

             กรณีที่อยากเลี้ยงแมวเป็นคู่ตั้งแต่ต้น แนะนำว่าควรเลือกจากแมวที่เป็นพี่น้องกันนะครับ เพราะโดยธรรมชาติแล้วสังคมแมวจะไม่ยอมรับแมวตัวอื่นที่อยู่นอกกลุ่มง่ายๆ ไม่อย่างนั้นอีกทางเลือกหนึ่ง คือเลี้ยงแมวที่มีอายุน้อยกว่า 7 สัปดาห์ครับ แมวในช่วงวัยนี้หากโตขึ้นมาด้วยกัน มักไม่ค่อยพบปัญหามากนัก

             กรณีที่มีแมวตัวเดิมที่บ้านอยู่แล้วอยากเลี้ยงเพิ่ม แนะนำว่าแมวตัวใหม่ควรให้มีอายุน้อยกว่าแมวตัวเก่าที่บ้านครับ และควรเป็นเพศที่ตรงขามกับแมวตัวเดิม โอกาสที่แมวตัวเดิมยอมรับจะมีมากขึ้น แมวโตบางตัวจะมีปัญหาเวลาเจ้าของเอาลูกแมวใหม่เข้ามาเลี้ยงในบ้าน เพราะมักไม่ชอบเวลาลูกแมวเข้ามาเล่นด้วย การเลี้ยงลูกแมวสองตัวจะช่วยให้ลูกแมวเล่นกันเองและรบกวนแมวโตน้อยลง


เตรียมบ้านให้พร้อมรับแมวใหม่

             แมวที่อยู่ในบ้านจะมีการยืดครองพื้นที่สำหรับตัวเองไว้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีแมวตัวใหม่เข้ามา การจัดสรรพื้นที่ใหม่ระหว่างแมวจะเกิดขึ้นเจ้าของจำเป็นต้องเตรียมชามอาหาร ชามน้ำ บริเวณสำหรับนั่งเล่น และกระบะทราย ไว้ให้เพียงพอกับแมวที่เพิ่มขึ้น เพราะแมวทุกตัวล้วนอยากมีสิ่งจำเป็นพื้นฐานเหล่านี้เป็นของตัวเองทั้งนั้น บริเวณพื้นที่แนวราบในบ้านอาจจะไม่สามารถขยายได้ แต่เจ้าของสามารถหาชั้นหรือหิ้งไว้ให้แมวปีนป่ายหรือขึ้นไปนอนเล่นเพื่อเพิ่มพื้นที่ในแนวดิ่งได้ การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ควรทำก่อนที่แมวตัวใหม่จะเข้ามาอยู่ครับ

             ในช่วงแรกที่จะนำแมวใหม่มาเข้าบ้าน ให้เจ้าของเตรียมห้องไว้ให้แมวตัวใหม่อยู่ในช่วงแรก ห้องควรจะต้องมีกลอนเพื่อกันไม่ให้แมวตัวอื่นๆ ในบ้านเข้าไปได้ ภายในห้องควรมีการเตรียมของเล่น ชามอาหาร ชามน้ำ กระบะทราย และที่สำหรับพักผ่อนหรือซ่อนตัวไว้ให้พร้อม เจ้าของและคนอื่น ๆ ในบ้านอาจจะทยอยเข้าไปทำความคุ้นเคยกับแมวในห้องนี้ ให้เวลาแมวใหม่เดินสำรวจสถานที่ในห้องและปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม 2 ถึง 3 วัน ก่อนที่จะเริ่มแนะนำให้รู้จักกับแมวตัวอื่นในบ้าน





4 ขั้นตอนในการแนะนำให้แมวรู้จักกัน

ขั้นที่ 1 แนะนำด้วยกลิ่นก่อน

             หาเศษผ้าที่ไม่ใช้แล้วโดยให้เขียนชื่อของแมวลงบนเศษผ้าแต่ละชิ้น นำเศษผ้าไปเก็บกลิ่นโดยนำไปถูบริเวณหน้าและสีข้างของแมวที่มีชื่อตรงกับบนเศษผ้า เก็บเศษผ้าแต่ละชิ้นแยกกันไว้ในถุงพลาสติกอย่างมิดชิดเพื่อไม่ให้กลิ่นมาปนกัน ต่อไปให้เจ้าของนำอาหารหรือขนมไปให้แมวตัวใหม่ที่ยังอยู่ในห้องพักที่แยกจากแมวตัวอื่น โดยนำเศษผ้าที่มีกลิ่นของแมวตัวอื่นในบ้านพันไว้ที่มือ ในช่วงแรกแมวตัวใหม่อาจถอยหลัง ขู่หรือทำตัวแข็ง ห้ามไปบังคับแมวเด็ดขาด รอให้แมวพร้อมและเดินเข้ามาหาคุณเอง ค่อยๆ ใช้เวลาให้แมวปรับตัวทำความเคยชินกับกลิ่น เมื่อแมวรู้สึกคุ้นเคยและทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่ได้กลิ่นอะไรแปลกปลอมเราจึงจะเข้าสู่ชั้นที่ 2 ในระหว่างชั้นที่ 1 นี้ ควรนำผ้าที่มีกลิ่นของแมวตัวใหม่ไปให้แมวตัวอื่นในบ้านทำความคุ้นเคยด้วย โดยให้ใช้วิธีการเดียวกัน


ขั้นที่ 2 ผสมกลิ่นเข้าด้วยกัน

             นำเศษผ้าที่มีกลิ่นของแมวใหม่และแมวตัวเดิมมาผสมกลิ่นโดยการเก็บไว้ในถุงพลาสติกเดียวกันทำซ้ำวิธีการเดียวกับในขั้นที่ 1 เมื่อแมวยอมรับกลิ่นที่ผสมกัน ให้นำผ้าผืนนั้นไปถูที่บริเวณที่แมวมักชอบนำหน้าไปถูบ่อย ๆ เช่น บริเวณมือ ขาเจ้าของ หรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ คอยสังเกตพฤติกรรมแมว เมื่อแมวนำหน้าไปถูกับของที่มีกลิ่นของแมวตัวอื่นผสมอยู่อย่างสบายใจ เราจะเข้าสู่ขั้นที่ 3 กัน แต่ต้องไม่ลืมใช้วิธีการนี้ให้ครบกับแมวทุกตัวในบ้านก่อนนะครับ


ขั้นที่ 3 ให้แมวใหม่ทำความคุ้นเคยกับบ้าน

             ตอนนี้เราจะให้แมวตัวใหม่ได้ออกจากห้องพักมาสำรวจบ้านกัน โดยให้แยกแมวตัวอื่นเข้าไปพักอยู่ในห้องอื่นชั่วคราวก่อน ปล่อยให้แมวตัวใหม่ได้เดินสำรวจบ้านอย่างเต็มที่เพื่อจะได้รู้ว่าอาหาร น้ำ และกระบะทรายอยู่ที่ไหน ที่สำคัญคือแมวจะได้รู้จักสถานที่สำหรับหลบซ่อนตัวและทางหนีทีไล่ เวลาที่เจอแมวตัวอื่นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเรารู้สึกว่าแมวรู้จักสถานที่ต่าง ๆ ภายในบ้านเป็นอย่างดีแล้วก็เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายกันเลยครับ


ขั้นที่ 4 ให้แมวเจอหน้ากัน

             ถึงขั้นนี้แมวพร้อมที่จะเจอหน้ากันแล้วครับ แต่เพื่อความไม่ประมาทควรจะให้เจอกันแบบที่มีกระจกหรือรั้วกั้นอยู่ก่อน หากสถานที่ในบ้านไม่พร้อมอาจใช้วิธีการเปิดประตูแง้ม ๆ ไว้ให้พอเห็นหน้าและได้กลิ่นกันแต่แมวต้องไม่สามารถเดินเข้าออกได้นะครับ ให้เอากลิ่นที่ผ้ามาถูที่บริเวณขอบประตูหรือรั้วด้วย ระหว่างนี้ให้ใช้หลักการเบี่ยงเบนความสนใจโดยในช่วงเวลาของมื้ออาหาร ให้แมวกินอาหารพร้อมกันโดยให้อยู่กันคนละฝั่งของรั้ว หรืออาจจะหาเกมสนุก ๆ มาเล่นกับแมว เพื่อให้แมวลดความสนใจในแมวอีกตัวลง หากแมวไม่แสดงอาการกลัวหรือแสดงความก้าวร้าวให้เห็น แสดงว่าแมวของคุณพร้อมออกมาอยู่ร่วมกันแล้วครับ เจ้าของยังจำเป็นต้องนำผ้าที่มีกลิ่นของแมวผสมกันไปถูตามเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ภายในบ้านที่แมวชอบเอาหน้าไปถู จนกว่าจะเห็นแมวเอาหน้าไปถูกันและกันหรือเลียแต่งตัวให้กันถึงจะมั่นใจได้ว่าแมวยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว

             ช่วงเวลาที่ใช้ตั้งแต่ขั้นที่ 1 ถึง 4 อาจกินเวลาตั้งแต่ 2 สัปดาห์จนถึง 2 เดือนขึ้นอยู่กับแมวแต่ละตัว แต่เชื่อเถอะครับว่าไม่มีทางลัดสำหรับคามรักของแมว ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา ในเดือนหน้าจะเป็นตอนต่อเกี่ยวกับสังคมแมวภายในบ้านครับ บ้านที่มีปัญหาแมวทะเลาะกันมักเกิดจากสาเหตุอะไร ที่สำคัญคือหากสังคมแมวภายในบ้านมีปัญหาอยู่อย่าเพิ่งเลี้ยงแมวตัวใหม่เด็ดขาดนะครับ

             สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน สามารถปรึกษาได้ทาง www.facebook.com/petmanner


ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก  http://pet.kapook.com/view38387.html , http://picpost.mthai.com/tag


เทคนิคและวิธีการเลี้ยงแมวอย่างถูกต้อง ไม่มีพลาด

วิธีเลี้ยงน้องเหมียวน้อย
   แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มนุษย์นิยมนำมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนมากอีกชนิดหนึ่งรอง จากสุนัข เมื่อเรานำมาเลี้ยงแล้ว คงต้องมีความรู้เกี่ยวกับแมวให้มากที่สุด เพื่อที่เราจะได้ปฏิบัติกับมันอย่างดี มีผลถึงสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของเจ้าเหมียวดีขึ้น
 การเลี้ยงลูกแมว กำพร้าแม้ต้องมีตารางประจำวันในการให้อาหารที่เหมาะสม การขับถ่ายการเล่นและการนอนหลับ โดยต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อความสำเร็จในการเลี้ยงลูกแมวต้องคำนึงถึง
   1.โภชนาการและการหย่านม
   2.สุขอนามัย
   3.อุณหภูมิและความชื้น
   4.การป้องกันโรค
    5.การบำรุงและทำให้เข้ากับสังคม
    ลูก แมวสุขภาพดีจะจ้ำม่ำแข็งแรง มีชีวิตชีวา หลับนาน ลูกแมวที่สุขภาพไม่ดีจะมีกล้ามเนื้อที่ไม่สมบูรณ์ ร้องบ่อยถ้าไม่ช่วยเหลือ อ่อนแอ ซึมเศร้า เฉื่อยชา

โภชนาการและการหย่านม
     ลูก แมวจะได้รับน้ำนมน้ำเหลืองใน 12 ชั่วโมงแรก ลูกแมวจะดูดซึมภูมิคุ้มกันจากน้ำนมน้ำเหลืองได้ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกนับจากคลอด ในกรณีที่แม่แมวไม่สามารถเลี้ยงดูลูกแมวได้ ลูกแมวต้องดูดนมจากขวดหรือหลอดหยดตามแต่จะหาได้
     การให้อาหารแบบ หลอดผู้ให้ต้องได้รับการฝึกอย่างดี เพราะอาหารอาจเข้าสู่ปอดย่างไม่ตั้งใจทำให้หมดสติ การให้อาหารแบบหลอดจึงเสี่ยง อนุญาตให้ใช้เฉพาะในลูกแมวอ่อนแอซึ่งต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ ควรลูบหลังลูกแมวให้เรอระหว่างให้อาหารและหลังอาหาร โดยนำมันผาดไหล่ ให้ตัวตั้งตรงและตบหลังเบาๆ การให้น้ำนมจากขวดหรือหลอดต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการปอดบวมหรือการสำลักน้ำ
    ใน 24-28 ชั่วโมงแรก ลูกแมวต้องการนม 1 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง แต่ละวันเพิ่มจำนวนขึ้น 0.5 มิลลิลิตร จนถึง 10 มิลลิลิตรต่อมื้อ จึงหยุดเพิ่ม ใน 1 วันลูกแมวควรได้รับอาหาร 6-9 มื้อ
    ในช่วง 2 สัปดาห์ ให้อาหารลูกแมว 5-7 มิลลิลิตรต่อครั้ง
    ในช่วง 3 สัปดาห์ จะเริ่มให้อาหารอ่อน 3 เวลาต่อวัน และยังมีการให้นมจากขวดอยู่
    ในสัปดาห์ที่ 4 ลูกแมวควรได้รับน้ำนมจากขวด 4-6 ครั้งต่อวันร่วมกับอาหารอ่อน 4-5 ครั้งต่อวัน ลดการให้อาหารช่วงกลางคืนลง
    ลูกแมวจะกินอาหารแข็งได้เมื่ออายุ 7 สัปดาห์


    สัญญาณ แรกของการเจ็บป่วย คือ น้ำหนักลด น้ำหนักของลูกแมวจะเพิ่มขึ้น 50-100 กรัมต่อสัปดาห์ เมื่อลูกแมวอายุ 14 วัน น้ำหนักจะเพิ่มเป็น 2 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด ถ้าลูกแมวน้ำหนักไม่เพิ่มควรให้อาหารเพิ่มขึ้น

สุขอนามัย
     ลูกแมวเกิดใหม่จะไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เพราะกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยังเจริญไม่สมบูรณ์ ลูกแมวต้องได้รับการกระตุ้นโดยใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ชุบน้ำอุ่นลูบบริเวณทวารหนัก จะทำให้ลูกแมวปัสสาวะ อุจจาระภายใน 1-2 นาที โดยปกติลูกแมวอายุ 21 วัน จะขับถ่ายของเสียได้เอง หมั่นสังเกตปัสสาวะและอุจจาระของลูกแมว ปัสสาวะปกติควรมีสีเหลืองอ่อนหรือใส ถ้ามันมีสีเหลืองคล้ำหรือส้มแสดงว่าลูกแมวได้รับอาหารไม่เพียงพอ ปกติอุจจาระจะมีสีน้ำตาลจางหรือเข้ม อุจจาระสีเขียวแสดงถึงโรคติดเชื้อ ถ้าอุจจาระแข็งมากแสดงว่าให้อาหารทีละมากๆ แต่ให้ไม่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ท้องอืด มีแก๊ส หายใจไม่สะดวก

อุณหภูมิและความชื้น
     ลูกแมวเกิดใหม่ยังไม่สามารถรักษาความร้อนของร่างกาย หรือสั่นตัวเพื่อให้เกิดความร้อนได้ จึงต้องมีที่ให้ความร้อนแก่ลูกแมว เช่น ตู้อบ เครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งถูกออกแบบสำหรับลูกสัตว์เกิดใหม่ จะช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสมและควรระมัดระวังอย่าให้ความร้อนสูง เกินไป ควรมีเทอร์โมมิเตอร์ในบริเวณนั้นเพื่อคอยสังเกตอุณหภูมิ ในสัปดาห์แรกอุณหภูมิควรอยู่ที่ 85-90 องศาฟาเรนไฮต์ ความชื้น 55-65% พอ 3 สัปดาห์ลดอุณหภูมิลงเป็น 75 องศาฟาเรนไฮต์ ลองสังเกตถ้าลูกแมวมาอยู่รวมกันแสดงว่ามันหนาวไป แต่ถ้าลูกแมวอยู่ห่างกันคนละมุมแสดงว่าร้อนไป ลูกแมวที่มีอุณหภูมิร่างกายต่ำควรทำให้อบอุ่นอย่างช้าๆ ภายใน 2-3 ชั่วโมง จนลูกแมวมีอุณหภูมิร่างกายปกติ 97 องศาฟาเรนไฮต์
      ควรรักษาความชื้น โดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำวางเหนือกล่องที่ลูกแมวอยู่ จะช่วยเพิ่มความชื้นได้ ไม่ควนเลี้ยงลูกแมวในที่อับชื้น หรือบนพื้นที่ผุพัง เพราะจะทำให้เกิดเชื้อรา ซึ่งอาจเกิดโรคทางเดินหายใจได้ การควบคุมอุณหภูมินั้นสำคัญกว่าในเรื่องความชื้น ลูกแมวควรอยู่ในที่ที่มีผิวสัมผัสที่ดี เช่น ผ้าห่ม ขนแกะ จะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของลูกแมว

การป้องกันโรค
       ลูก แมวอาจติดโรคได้ง่าย เช่น โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ถ้าหากไม่ได้รับน้ำนมเหลืองจากแม่ นมน้ำเหลือง 24 ชั่งโมงแรกหลังคลอดจะมีแอนติบอดีมากมาย ซึ่งแอนติบอดีจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลูกแมวที่ไม่ได้กินนมน้ำเหลืองจะมีภูมิคุ้มกันโรคน้อย และควรฉีดวัคซีนให้ลูกแมวด้วย ลูกแมวอาจได้รับอันตรายจากพยาธิ จึงควรถ่ายพยาธิให้ลูกแมว เริ่มเมื่อลูกแมวอายุ 6 สัปดาห์ และถ่ายซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 8 และ 10สัปดาห์

การบำรุงและทำให้เข้ากับสังคม
       เรา ควรลูบขน กอด และให้ลูกแมวเล่นกับคนประมาณ 30-40 นาทีต่อวัน นอกเหนือจากการให้อาหารและทำความสะอาดให้มัน ลูกแมวต้องการการกระตุ้น ควรปูรองพื้นกล่องที่ลูกแมวนอนด้วยวัสดุอ่อนนุ่ม ลูกแมวจะอบอุ่นและหลับสบาย สิ่งสำคัญคือทำให้เหมือนลูกแมวเป็นสมาชิกในบ้านในช่วง 3-6 สัปดาห์ จำไว้ว่ามันยังเด็ก ต้องจับอย่างทะนุถนอม แต่ต้องเริ่มฝึกลูกแมวให้คุ้นเคยกับเสียง การขับถ่าย คนแปลกหน้า และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ
    สรุป ไม่ต้องกังวลว่าการเลี้ยงลูกแมวเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย ลูกแมวสุขภาพดี มีความสุขที่คุณเลี้ยงมาคือรางวัลที่วิเศษที่สุด

------------------------------------

วิธีดูแลลูกแมวตัวน้อย
      การรับแมวเหมียวตัวน้อยมาอยู่ในบ้านนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การดูแลให้เขามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงนั้นยากกว่าเป็นหลายเท่า คอลัมน์ Holistic Health Series ฉบับนี้จึงขอรวบรวม 10 วิธีการดูแลลูกแมวตัวน้อยมานำเสนอ เรื่องยากๆจะได้กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนรักแมวทุกคน
 1. ให้อาหารที่ถูกต้อง
Feed Him Right
     อาหารคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าเหมียว (และสัตว์อื่นๆ) ฉะนั้นการเลือกสรรอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยและความต้องการพิเศษของสายพันธุ์คือสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม เพื่อพัฒนาการทางร่างกายจะได้เจริญเติบโตอย่างราบรื่นไม่มีติดขัด
ปัจจุบันนี้ท้องตลาดมีอาหารสำเร็จรูปนับไม่ถ้วนรอให้คุณหยิบไปให้เจ้าเหมียวตัวน้อยที่บ้าน คำแนะนำง่ายๆของเราก็คืออ่านฉลากข้างถุงให้เป็น ดูซิว่าอาหารดังกล่าวนั้นเหมาะสำหรับช่วงวัยใด สายพันธุ์ไหน ส่วนเรื่องรสชาตนั้นเจ้าเหมียวต้องเป็นฝ่ายตัดสิน
ทั้งนี้หากบ้านของคุณมีเจ้าตูบอยู่ด้วย เราขอเตือนไว้เลยว่าอาหารของสุนัขไม่เหมาะสำหรับแมว หมั่นคอยสังเกตด้วยล่ะว่าเจ้าเหมียวเข้าไปมั่วกินอาหารหรือเปล่า ถ้าใช่ล่ะก็เก็บอาหารให้มิดชิด เพื่อชีวิตอันสดใสของแมวน้อย ...อย่าลืมล่ะ
2. หาสัตวแพทย์
Find a Veterinarian
    แมวเด็กย่อมต้องการการดูแลจากสัตวแพทย์มากกว่าแมวโต ทั้งนี้ก็เพราะเขาจำเป็นที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การมองหาสัตวแพทย์ประจำตัวจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ต้องรอให้มีปัญหาสุขภาพก่อนค่อยพาไปคลินิกอีกต่อไป
ปัจจัยที่คุณควรใช้ในการคัดเลือกสัตวแพทย์ประจำตัวนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณเอง บางท่านอาจไม่หวั่นหากต้องเดินทางไกลเพื่อพบสัตวแพทย์ที่ศึกษาด้านแมวเหมียวมาโดยเฉพาะ บางท่านก็อาจเน้นที่ความสะดวกสบายใกล้บ้านเป็นหลัก ฯลฯ คำแนะนำของเราก็คือเลือกให้ตรงใจที่สุดเท่านั้นก็พอ
 3. ขนสวย = สุขภาพดี
Groom for Health
    จริงอยู่ว่าน้องเหมียวเป็นสัตว์รักสะอาด พวกเขาสามารถเลียขนเพื่อทำความสะอาดตัวเองได้ตั้งแต่ยังละอ่อน แต่คุณเองก็สามารถช่วยเหลือเขาในการทำความสะอาดตัวเองได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน หมั่นช่วยเขาหวีขนบ่อยๆเพื่อกำจัดขนที่หลุดร่วง นอกจากจะช่วยเพิ่มสุขอนามัยให้เขาแล้ว ยังเป็นการสร้างสัมพันธ์ระหว่างกันและกันอีกทางหนึ่งอีกต่างหาก
 4. ป้ายชื่อเพื่อความปลอดภัย
Tag for Safety
     ว่ากันว่าแมวเหมียวนั้นมีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าน้องหมา พวกเขาสามารถออกไปเที่ยวนอกบ้านเป็นวันๆได้โดยกลับมาเฉพาะตอนหิวข้าว ในเมื่อไลฟ์สไตล์ของเขาอยู่ไม่ติดบ้าน อะไรล่ะที่จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าเหมียวของคุณจะปลอดภัยเมื่ออยู่ภายนอก
คำแนะนำของเราก็คือปลอกคอและป้ายชื่อค่ะ ใส่ให้เจ้าเหมียวของคุณตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อที่ว่าเวลาออกไปนอกบ้านคนอื่นจะได้รับรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ยิ่งไปกว่านั้นควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจนลงไปในป้ายชื่อด้วยว่าเจ้าของคือใคร เบอร์ติดต่ออะไร เผื่อฉุกเฉินจะได้ตามได้
นอกเหนือการคล้องป้ายและปลอกคอแล้ว วิธีการเพิ่มความปลอดภัยอีกอย่างก็คือพาเขาไปแนะนำตัวกับเพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้ เพื่อให้เขาเป็นหูเป็นตาเวลาเจ้าเหมียวของคุณออกไปป่วนนอกบ้าน จะได้ช่วยกันจับไว้ไม่ให้ไปไกลบ้านเกินไป
 5. สั่งสอนตามสมควร
Teach your Kitten well
     การเลี้ยงแมวเหมียวสักตัวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก การฝึกพวกเขาให้เป็นแมวที่ดีนั้นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ทั้งนี้เพราะพฤติกรรมตามธรรมชาติของเขานั้นเป็นระเบียบอยู่แล้ว ขอแค่เวลาในการเอาใจใส่อย่างจริงจังจากคุณเท่านั้นก็เพียงพอ
โดยการฝึกที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตแมวบ้านก็คือการใช้กระบะทรายในการขับถ่าย หมั่นฝึกฝนตั้งแต่ยังเยาว์เพื่อสร้างการจดจำและนำไปสู่พฤติกรรมอันเป็นนิสัย เคล็ดลับที่เราอยากแนะนำก็คือหามุมเหมาะในการปลดทุกข์ ซื้อกระบะและทรายแมวจากร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงมาเตรียมไว้ ขั้นตอนต่อไปก็คือหมั่นจับเขาไปนั่งในกระบะเมื่อสังเกตเห็นว่าเขากำลังจะทำธุระ ทำซ้ำๆจนให้เขาก้าวเข้ากระบะไปทำธุระด้วยตนเอง เพียงเท่านี้บ้านคุณก็จะเป็นระเบียบเรียบร้อยได้อย่างง่ายๆ
 6. แมวต้องฝนเล็บ
Gotta Scratch
     คุณอยากให้เฟอร์นิเจอร์เป็นรอยอันเนื่องมาจากพฤติกรรมฝนเล็บตามบรรพบุรุษของแมวเหมียวหรือเปล่า ถ้าคำตอบของคุณคือไม่ล่ะก็ หาซื้ออุปกรณ์ฝนเล็บมาให้เขาอย่างด่วน เพื่อที่ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านของคุณจะปลอดภัยจากการขูดขีดด้วยกงเล็บ
การเลือกซื้อที่ฝนเล็บสักชิ้นนั้นไม่มีอะไรยาก คุณสมบัติและประโยชน์ในการใช้สอยแปรผันตามขนาดและราคา บางชิ้นคุณสามารถนำไปตั้งเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งได้เลยในบ้าน เจ้าเหมียวก็สามารถนอนได้ฝนเล็บได้ ครบคุณสมบัติในชิ้นเดียว หรือบางชิ้นก็อาจเป็นแค่ที่ฝนเล็บอย่างเดียวเท่านั้น คุณจะเลือกอะไรก็ตามแต่ความสบายใจได้เลย
 7. อย่าลืมการออกกำลังกาย
Exercise, exercise
     การออกกำลังกายสำคัญสำหรับทุกสิ่งมีชีวิต แมวเหมียวเองก็เช่นกัน หากเขาได้ยืดเส้นยืดสายอย่างเพียงพอ โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่ถามหา ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน การขับถ่ายบกพร่อง ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยส่งเสริมความเป็นมิตรให้เขาร่าเริงสดใสตลอดเวลาอีกต่างหาก
ในเมื่อการออกกำลังกายนั้นมีผลดีมากมายขนาดนี้ คุณสมควรต้องส่งเสริมให้ถึงที่สุด จัดหาพื้นที่ในการออกกำลังกายให้เขา ซื้อหาของเล่นมาเตรียมพร้อม เพียงเท่านี้อาณาจักรสุขภาพของเหมียวก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆภายในบ้านของคุณเอง
 8. เตรียมตัวเผื่อฉุกเฉิน
Prep for Emergencies
    เพราะเราไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าเหตุฉุกเฉินจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ การเตรียมการไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ไม่ควรละเลย อย่าลืมติดต่อสอบถามสัตวแพทย์ใกล้บ้านให้เรียบร้อยว่าสามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉินหรือไม่ หากไม่มีอย่าลืมหาคลินิกสำรองไว้ด้วย เวลาฉุกละหุกจะได้ไม่ต้องวุ่นวายอย่างไรล่ะ
 9. ดูแลเขาให้ถูกต้องถูกวิธี
Treat him right
     การป้องกันนั้นดีกว่าการรักษาเมื่อยามเจ็บป่วย ฉะนั้นเมื่อรับเจ้าเหมียวตัวน้อยเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด อย่าลืมพาเขาไปรับวัคซีนให้ครบตามกำหนดนัดหมาย อายุเดือนครึ่งก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม สัตวแพทย์นัดเมื่อไหร่ต้องไปห้ามพลาดเป็นอันขาด เพราะวัคซีนแต่ละชนิดหมายความถึงการป้องกันโรคร้ายที่หากเป็นขึ้นมาล่ะก็จะรักษาลำบาก ไม่ว่าจะเป็น โรคไข้หัดหวัดแมว โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในแมว ฯลฯ
นอกจากการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคแล้ว การถ่ายพยาธิคือสิ่งหนึ่งที่คุณไม่ควรละเลย อย่าลืมปรึกษาสัตวแพทย์ให้เขาจัดตารางที่เหมาะสมให้กับเจ้าเหมียวของคุณด้วยล่ะ อ๊ะๆ...เท่านี้ยังไม่หมดนะจ๊ะ อย่าลืมเรื่องการดูแลทำความสะอาดหู ตา จมูก และส่วนต่างๆของร่างกาย เพราะความสะอาดคือสิ่งที่ห้ามพลาดเป็นอันขาด
 10. พิจารณาเรื่องทำหมัน
Spay or Neuter Early
     ข้อสุดท้ายที่เราอยากฝากก็คือการทำหมันแมวเหมียว หากคุณไม่อยากให้เขามีลูกมีหลานหรือเลี้ยงเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ล่ะก็ ตัดสินใจทำหมันไปเลยเมื่ออายุครบเกณฑ์ (ปัจจุบันนี้สามารถทำหมันได้ตั้งแต่อายุครบ 10 สัปดาห์) ซึ่งการทำหมันนั้นจะช่วยลดปัญหาพฤติกรรมฉี่เพื่อสร้างอาณาเขตในแมวหนุ่ม รวมทั้งช่วยให้เขาไม่ต้องออกไปเสาะหาคู่ครองนอกบ้าน อันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายได้ง่ายๆ สำหรับแมวสาวนั้นการทำหมันจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านม และลดพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อถึงช่วงเวลาผสมพันธุ์
อย่างไรก็ตามการตัดสินใจทำหมันหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับคุณแต่เพียงผู้เดียวค่ะ

-----------------------------------------------------------

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพแมว
     แมวถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักของหลายๆ ครอบครัว ซึ่งก็ต้องการการดูแลไม่ต่างจากคน ต้องให้ทั้งความรักและความเอาใจใส่ในสุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนในครอบครัวจะต้องร่วมกันดูแล เนื่องจากถ้าดูแลไม่ดีก็ย่อมเกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคหวัดแมว พยาธิ หรือโรคติดเชื้ออื่นๆ ที่อาจแพร่มาสู่คนได้ ซึ่งผู้เลี้ยงเองจะต้องดูแลให้ถูกวิธี เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

     แมวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีรูปร่างขนาดเล็ก ขนาดลำตัวยาว ช่วงขาสั้น และจัดอยู่ในกลุ่มของประเภทสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร มีเขี้ยวและเล็บแหลมคมสามารถหดซ่อนเล็บได้เช่นเดียวกับเสือ สืบสายเลือดมาจากแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่า มีหลากหลายสายพันธุ์ ตามปกติแมวเป็นสัตว์ที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเจ็บป่วยเหมือนสุนัข แต่ถ้าแมวกินอาหารได้น้อยและมีอาการซึมผิดปกติควรรอดูอาการประมาณ 1-2 วันก่อน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นค่อยพาไปหาหมอ ซึ่งปกติแมวธรรมดาบ้านเราก็จะมีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 14-16 ปีเท่านั้น และเพื่อให้เขามีสุขภาพดีอายุยืนและอยู่กับเราไปยาวนาน นี่คือ 5 เคล็ดลับในการดูแลสุขภาพแมว
 1. ควรพาแมวอายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ ไปเริ่มฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดต่อสำคัญต่างๆ ทั้งโรคไข้หวัด แมว โรคพิษสุนัขบ้า รวมถึงการถ่ายพยาธิในลำไส้ นอกจากนี้ ควรป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจทุกๆ เดือน และควรกำจัดหมัดและไรในหูด้วยการหยดยาเป็นประจำทุกเดือนด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
 2. ทำหมันแมว ทั้งแมวตัวผู้และตัวเมียตั้งแต่เล็ก เพราะสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 4 เดือนขึ้นไป เพื่อลดพฤติกรรมก้าวร้าวในการหวงอาณาเขต หรือการต่อสู้ในฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งการทำหมันในตัวเมียยังช่วยลดมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย และยังช่วยลดการออกไปเที่ยวนอกบ้านในแมวเด็กได้ด้วย
 3. การเลือกอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมให้กับลูกแมวเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรให้อาหารเม็ดสลับกับอาหารเปียก จะเลือกแบบที่เป็นกระป๋องหรือที่ผู้เลี้ยงปรุงเองก็ได้ หากเลือกแบบสำเร็จรูป ควรเลือกอาหารที่ให้คุณประโยชน์ครบถ้วน แนะนำแบบที่ทำจากปลาแท้ๆ มีโอเมก้า 3 และ 6 ช่วยบำรุงขนให้สวย มีสุขภาพผิวที่ดี แถมยังมีแคลเซียมเพื่อกระดูกและฟันแข็งแรง และมีทอรีนเพื่อดวงตาสดใส โดยต้องเลือกให้เหมาะกับขนาดและช่วงวัยของแมว และที่สำคัญอย่าลืมให้แมวได้กินน้ำอย่างเพียงพอด้วย
 4. การเลี้ยงแมวนั้น ทางที่ดีควรฝึกให้อยู่ในบ้านตั้งแต่เด็ก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อร้ายแรงต่างๆ ได้ เพราะนอกบ้านนั้นมีโรคมากมายที่แมวจะไปติดมาได้ ไม่ว่าจะเป็น ไวรัสเอดส์แมว ไวรัสลิวคีเมียที่เกิดจากการกัดกัน หรือโรคไข้หวัดแมว ที่จะมีอาการจาม น้ำมูกไหล ถ้าเราฝึกตั้งแต่เล็ก แมวก็จะชินและอยากอยู่บ้านมากกว่าแมวที่โตแล้วที่ยากที่จะฝึกให้อยู่บ้านได้ ซึ่งเราอาจหาของเล่น หรือสิ่งดึงดูดใจที่เจ้าแมวชอบไว้คอยหลอกล่อให้อยู่บ้านจะดีที่สุด
 5. ไม่ควรเลี้ยงแมวไว้ในที่เดียวกันมากเกิน 3 ตัว เพราะการเลี้ยงรวมกันหลายตัวอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ ทั้งแมวทะเลาะกัน หรือแมวไม่ได้รับการดูแลทั่วถึง จนอาจป่วยและไม่แสดงอาการ กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์และเผยแพร่เชื้อโรคไปยังแมวตัวอื่นๆ ได้ ดังนั้น การเลี้ยงแมวบ้านละไม่เกิน 3 ตัวก็เพียงพอ เพื่อจะได้ดูแลสุขภาพและให้ความรักได้อย่างทั่วถึง

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก  http://www.petheng.com/index.php/dealer  และ  http://picpost.mthai.com/tag/



6 โรคแมวที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด!

     


          สัตวแพทย์หญิงปิยวรรณ ภู่ระหงษ์ หรือ คุณหมอก้อย ให้ข้อมูลว่าวิถีชีวิตของแมวมีผลโดยตรงต่อสภาพความเป็นอยู่โดยทั่วไป แมวที่ใช้ชีวิตกลางแจ้งได้อย่างอิสระจะมีชีวิตที่เป็นธรรมชาติมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บและเสี่ยงต่อการติดโรคได้ง่ายตามไปด้วย บางโรคอาจร้ายแรงจนทำให้แมวถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยโรคที่พบบ่อยๆ ได้แก่

1. โรคติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจของแมว หรือที่เรียกว่าโรคหวัดแมว (cat flu) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจของแมว เป็นโรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งเป็นไวรัสจำเพาะในแมว ได้แก่ Feline Viral Rhinotracheitis Virus (FVRC) หรือ Feline Herpevirus (FHV) และ Feline Calici Virus (FCV) ซึ่งสามารถพบการติดเชื้อร่วมกันได้ นอกจากนี้อาจมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ ร่วมด้วยได้ เช่น Bordetella หรือ Chlamydia สำหรับเชื้อ Chlamydia ที่ติดร่วมนั้นจะทำให้แมวมีอาการตาอักเสบ เยื่อบุตาบวมอักเสบ มีขี้ตาเขียว เป็นต้น การติดเชื้อไวรัส Feline Herpevirus (FHV) จะพบได้บ่อยในกลุ่มแมวที่ไม่เคยได้รับการทำวัคซีน อัตราการเกิดโรคอาจสูงถึง100 % แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วอัตราการตายจะไม่สูงมาก แต่ว่ามีโอกาสที่จะสูงถึง 30 % ได้ในลูกแมวและแมวที่มีอาการเครียดหรือมีโรคอื่นแทรกซ้อน
อาการป่วย: อาการที่พบหลังจากที่แมวได้รับเชื้อ FHV คือเชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 2 – 10 วัน โดยจะทำให้แมวมีอาการอักเสบที่ตา จมูก หลอดลมซึ่งทำให้อาการตาอักเสบ มีน้ำมูกและเสมหะ นอกจากนี้ยังทำให้แมวมีอาการซึม หายใจลำบาก เป็นไข้ ไอ จามและเบื่ออาหาร ในกรณีที่มีเชื้อแบคทีเรีย ร่วมด้วยนั้น จะทำให้น้ำมูกข้นเหนียวจนเป็นหนอง อาจพบแผลหลุมเป็นวงๆ บนลิ้น ทำให้แมวเจ็บมากจนไม่อยากกินอาหาร อาการอาจรุนแรงมากถึงขั้นเกิดปอดติดเชื้อและเยื่อหุ้มปอดอักเสบซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนการติดเชื้อ Feline Calici Virus (FCV) ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหล ไอ จาม แต่อาจแสดงอาการรุนแรงมากกว่านั้นได้ สำหรับอาการที่เด่นชัดที่สุดคือ แผลหลุมบนลิ้น ช่องปากอักเสบ แผลในช่องปากจะทำให้แมวกินอาหารลำบาก ความอยากอาหารลดลง ทำให้อาการทรุดลงเร็ว การติดต่อของโรค เกิดจากแมวได้รับเชื้อไวรัสที่มีการแพร่กระจายในอากาศจากแมวที่ป่วยผ่านเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ หรือมีการสัมผัสกับแมวที่ติดเชื้อโดยตรง พบได้บ่อยในบริเวณที่มีแมวอยู่รวมกันอย่างแออัดหรือกลุ่มแมวจร ในกรณีที่แมวป่วยและหายจากโรคแล้วนั้นยังสามารถเป็นพาหะนำโรคต่อไปได้
การรักษา:  จะรักษาแบบตามอาการและพยุงอาการ ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนจากแบคทีเรีย รวมทั้งยาลดเสมหะ ลดน้ำมูก ยาเสริมภูมิคุ้มกัน ในแมวบางตัวอาจจำเป็นต้องได้รับสารน้ำ วิตามินต่างๆ เพื่อบำรุงตามความเหมาะสม การเสริมอาหารอย่างเพียงพอ อาจจำเป็นต้องมีการป้อนอาหารและยาให้ นอกจากนี้ยังต้องดูแลเรื่องความสะอาดด้วย และควรให้ความอบอุ่นต่อร่างกาย สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การนำแมวที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคไปปะปนกับแมวภายนอก และควรป้องกันโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเป็นประจำทุกปี




2. โรคไข้หัดแมว (Feline panleukopenia , Feline parvovirus) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มพาร์โวไวรัสในแมว (Feline parvovirus) หรือ Feline distemper มีผลต่อระบบทางเดินอาหารของแมว พบรายงานการพบโรคนี้มานานแล้ว ซึ่งสามารถพบในแมวทุกตระกูล ไม่ว่าจะเป็น เสือ สิงโต แมวป่า หรือแม้แต่แมวบ้านทุกพันธุ์นอกจากนี้ยังพบได้ในสัตว์ตระกูลอื่นๆ อีก เช่น สกั๊งค์ เฟอเร็ต มิ้งค์ แรคคูน ซึ่งโรคนี้ทำให้แมวมีอาการอาเจียนและท้องเสีย บางครั้งอาจมีอาการหวัดแทรกซ้อน จึงมีคนเรียกชื่อต่างๆ มากมาย เช่น “โรคไข้หัดแมว” (Cat distemper) และ “โรคลำไส้อักเสบในแมว” (Feline Parvovirus Enteritis) เป็นต้น โรคไข้หัดแมวมักพบในแมวอายุน้อยและก่อให้เกิดความรุนแรงค่อนข้างมาก ส่วนแมวโตนั้นก็สามารถพบได้เช่นกัน
อาการป่วยของแมว: อาการที่พบคือ ซึม เบื่ออาหาร มีไข้สูง อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเป็นมูกเลือดกลิ่นคาว ร่างกายขาดน้ำ บางครั้งอาจมีอาการเกร็ง ปวดช่องท้อง และพบลักษณะลำไส้หนาตัว ภายในมีแก๊สและของเหลว อาจมีผลต่อการทรงตัวของลูกแมวและทำให้ลูกแมวตาบอดได้ ในแมวที่หายจากโรคนี้ในระยะแรกยังสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสในอุจจาระได้หลายสัปดาห์ ส่วนในแมวที่ตั้งท้องอาจทำให้เกิดการแท้งลูกหรือลูกตายหลังคลอดได้ การติดต่อโรคนี้สามารถติดได้จากการสัมผัสแมวป่วย หรือสัมผัสกับอุจจาระ สิ่งคัดหลั่งต่างๆ หรือภาชนะเครื่องใช้ของแมวป่วย หรือติดผ่านจากมนุษย์เป็นพาหะนำโรคผ่านเสื้อผ้า อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆที่สัมผัสกับแมวป่วย โรคไข้หัดแมวจะมีระยะการฟักตัวของโรค 2-7 วัน โดยแมวอายุน้อยมักตายอย่างรวดเร็ว อัตราการตายอยู่ระหว่าง 25-90% เป็นโรคที่มีอัตราการตายสูงโดยเฉพาะในกลุ่มแมวที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน เมื่อตรวจเลือดมักจะพบเม็ดเลือดขาวต่ำมาก จึงมีชื่อเรียกโรคนี้ว่า “Feline Panleukopenia” การรักษาควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันทีเพราะเป็นโรคติดต่อร้ายแรง โดยเฉพาะแมวที่ไม่กินอาหาร มีอาเจียน ท้องเสีย จะทำให้ร่างกายอ่อนแรง ขาดน้ำ เสียสมดุลย์ของอิเล็คโตรไลท์ในร่างกาย สัตว์อาจอยู่ในสภาวะช็อกได้
การรักษาโรคแมว: แนวทางการรักษาโรค คือ การรักษาตามอาการและพยุงอาการเพื่อให้สัตว์สามารถสร้างภูมิต้านทานต่อโรคได้ โดยการให้สารน้ำเข้าทางหลอดเลือด (Fluid therapy) ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน นอกจากนี้อาจมีการให้ยาระงับการอาเจียนร่วมด้วย เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง การรักษาจึงทำเพื่อประคับประคองและพยุงอาการเท่านั้น สำหรับการการป้องกัน ควรแยกแมวป่วยออกจากแมวปกติตัวอื่นทันที เพราะโรคนี้เป็นได้กับแมวทุกอายุ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่อาจแพร่ออกมากับอุจจาระ ปัสสาวะ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่ผสมโซเดียมไฮโปคลอไรด์ เจ้าของแมวที่มีแมวตายด้วยโรคไข้หัดแมว การป้องกันโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคทุกปี ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดแมวหลายยี่ห้อและยังเป็นวัคซีนรวมอีกด้วย คือ ใช้ป้องกันได้ทั้งโรคไข้หัดแมวและโรคไข้หวัดแมวไปพร้อมๆ กันซึ่งสามารถรับการฉีดวัคซีนได้ตามคลินิกและโรงพยาบาลสัตว์ทั่วไป ส่วนสัตว์ป่าตระกูลแมว และแมวทุกเพศ ทุกวัย ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเช่นกัน



3.โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว หรือโรคลิวคีเมีย (Feline leukemia virus ; FeLV) เกิดจากการติดเชื้อ feline leukemia virus เป็นโรคติดเชื้อโรคหนึ่งที่มีความสำคัญและพบได้บ่อยในแมว เชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถติดต่อได้ทั้งแมวเลี้ยง รวมทั้งสัตว์ป่าตระกูลแมว การติดเชื้อ FeLV ในแมวสามารถแบ่งเป็นกลุ่มอาการได้ 2 แบบคือ 1.เกิดการกดภูมิคุ้มกันในร่างกายส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่างๆแทรกซ้อนได้ง่าย ทำให้เกิดภาวะเลือดจางเรื้อรัง 2.เกิดลักษณะก้อนเนื้องอก ก้อนเนื้อมะเร็ง ตามตำแหน่งต่างๆในร่างกายเช่นในช่องอก ช่องท้องและต่อมน้ำเหลืองต่างๆทั่วร่างกาย การติดต่อของเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อผ่านทางการสัมผัสน้ำลาย ปัสสาวะ น้ำตา หรืออุจจาระของสัตว์ป่วย รวมทั้งการติดเชื้อผ่านจากแม่แมวสู่ลูกแมวในขณะตั้งท้อง ส่วนใหญ่มักพบในแมวที่มีพฤติกรรมอาศัยอยู่นอกบ้าน แมวเพศผู้มักจะมีอัตราเสี่ยงมากกว่าเนื่องจากพฤติกรรมที่ชอบออกเที่ยวเป็นต้น
อาการป่วยของแมว: โดยภายหลังการติดเชื้อ FeLV ประมาณ 2-3 สัปดาห์ แมวจะแสดงอาการต่างๆ แตกต่างกันขึ้นอยู่กับอายุและระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น มีไข้ ซึม เบื่ออาหาร อาเจียน กินน้ำเยอะปัสสาวะเยอะ เลือดจาง รวมทั้งอาจพบเลือดปนในอุจจาระ มีการติดเชื้อในร่างกายแบบเรื้อรัง มีภาวะดีซ่าน น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต การตรวจวินิจฉัยและการรักษาจะเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด เจาะเลือดเพื่อตรวจดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การตรวจการทำงานของตับและไต การอัลตร้าซาวน์ช่องท้อง การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติจากการติดเชื้อด้วยปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน การตรวจด้วยชุดตรวจ FeLV test
การรักษาโรคแมว: การรักษาโรคนี้จะเป็นการรักษาตามอาการเพื่อลดการติดเชื้อแทรกซ้อนต่างๆ โดยให้ยาเพื่อลดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน การถ่ายเลือดกรณีที่เลือดจางรุนแรง การให้สารอาหารแก่แมวป่วย การให้ยาหรือสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน การให้ยาเคมีบำบัดกรณีที่พบการติดเชื้อในรูปแบบเนื้องอกหรือมะเร็ง การป้องกันการติดเชื้อ FeLV ไม่ควรปล่อยแมวออกเที่ยวนอกบ้านซึ่งมีโอกาสสัมผัสกับแมวป่วยได้ การฉีดวัคซีนป้องกันโรค ในกรณีที่เลี้ยงแมวไว้หลายตัวควรแยกแมวป่วยและชองใช้ต่างๆ ออกจากแมวอื่นๆรวมทั้งควรทำความสะอาดพื้นและวัสดุของแมวป่วยอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการป้องกันการแพร่เชื้อสู่แมวตัวอื่น



4.โรคเอดส์แมว (Feline immunodeficiency virus; FIV) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส FIV ในกลุ่ม retrovirus แมวป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเอดส์แมวจะมีขบวนการก่อโรคที่คล้ายคลึงกับในคน คือ การกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
อาการป่วยของแมว: อาการที่พบมักแบ่งออกได้เป็นสามระยะคือ ระยะแรก ภายหลังการติดเชื้อในช่วง 2-3 วันหรืออาจนานถึง 1-2 สัปดาห์ แมวจะมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายมีการขยายใหญ่ รวมทั้งมีการลดต่ำลงเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือด ระยะที่สอง ภายหลังจากการแสดงอาการในระยะแรก แมวป่วยที่ได้รับการติดเชื้อมักอยู่ในระยะที่ไม่แสดงอาการ แต่มีเชื้ออยู่ในร่างกาย รวมทั้งสามารถแพร่เชื้อสู่แมวปกติได้ แมวบางตัวสามารถมีอาการอยู่ในระยะนี้ได้นาน และอาจนานถึงหลายปี ระยะสุดท้าย แมวป่วยจะแสดงอาการป่วยที่ไม่ระบุแน่ชัด ขึ้นอยู่กับระบบที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้เนื่องจากการลดต่ำลงของระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย ระบบการทำงานของอวัยวะที่สามารถพบความผิดปกติได้แก่ ระบบปัสสาวะ ช่องปาก เหงือก ระบบทางเดินหายใจ แมวป่วยมักจะแสดงอาการป่วยเรื้อรังและมีชีวิตได้เพียงไม่นานภายหลังการป่วยระยะนี้ การติดต่อของโรคเอดส์แมวจะผ่านการสัมผัสเลือดหรือน้ำลายของแมวป่วย ส่วนใหญ่มักจะพบในแมวเพศผู้ที่มีพฤติกรรมเที่ยวนอกบ้านและต่อสู้กับแมวตัวอื่นเพื่อแย่งชิงอาณาเขตหรือแมวเพศเมียที่เป็นสัดนอกจากนั้นยังพบการติดต่อของโรคเอดส์แมวผ่านการให้น้ำนมหรือจากแม่แมวสู่ลูกแมวได้
การรักษาโรคแมว: การตรวจวินิจฉัยทำโดยการตรวจเลือดและการตรวจหา antibody ต่อเชื้อไวรัสเอดส์แมวซึ่งปัจจุบันมีการทำในรูปแบบ test kit การตรวจดังกล่าวอาจให้ผลบวกในลูกแมวได้รับน้ำนมเหลืองจากแม่แมวที่ป่วยด้วยโรคเอดส์แมว ในกรณีนี้ควรทำการตรวจซ้ำอีกครั้งหรือช่วงอายุประมาณ 6 เดือนขึ้นไป การรักษาและการป้องกันการรักษาโรคเอดส์แมว เนื่องจากเอดส์แมวเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การใช้ยาต่างๆ สามารถช่วยให้แมวมีอาการทั่วไปดีขึ้นได้ และลดการติดเชื้อแทรกซ้อนต่างๆ การดูแลทั่วไปเป็นวิธีสำคัญสำหรับแมวป่วย ควรป้องกันแมวป่วยให้หลีกเลี่ยงการเที่ยวนอกบ้าน การเสริมระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยให้สารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอแก่แมวป่วย เป็นต้น


5.โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Feline infectious peritonitis;FIP) เกิดจากการติดเชื้อในกลุ่ม Coronavirus เชื้อไวรัสก่อโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบในแมวจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเชื้อไวรัสที่ก่อโรคลำไส้อักเสบในแมว หรือ feline enteric coronavirus ซึ่งเป็นเชื้อที่มีความรุนแรงต่ำกว่า เชื้อมีการเกิด mutation และทำให้ก่อความรุนแรงมากขึ้นในแมว โดยทั่วไปเชื้อไวรัสเยื่อบุช่องท้องอักเสบสามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานประมาณ 3-7 สัปดาห์ รวมทั้งสามารถถูกทำลายด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อประเภทต่างๆ การติดเชื้อไวรัสเยื่อบุช่องท้อง สามารถพบได้มากในแมวที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่แข็งแรง เช่น แมวเด็กและแมวแก่ กลุ่มแมวที่เลี้ยงกันแบบหนาแน่นหรือเกิดความเครียด นอกจากนั้นยังสามารถพบได้ในแมวป่วยด้วยโรคระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเช่น โรคลิวคิเมีย โรคเอดส์แมว เป็นต้น โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบสามารถพบได้ในแมวทุกเพศและสายพันธุ์ สำหรับการติดต่อของโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบในแมวนั้น สามารถแพร่ผ่านได้โดยการติดต่อการสัมผัสกันระหว่างแมว หรือการสัมผัสอุจจาระของแมวป่วยที่ใช่กระบะทรายร่วมกัน รวมทั้งการติดเชื้อไวรัสผ่านวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกัน และปัจจุบันเชื่อว่าเชื้อไวรัสเยื่อบุช่องท้องอักเสบสามารถเกิดได้จากการ mutation ของเชื้อ corona เองในตัวแมวเองอีกด้วย
อาการป่วยของแมว: ภายหลังการติดเชื้อไวรัสโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ การก่อโรคและอาการจะแตกต่างกันไปในแมวแต่ละตัว ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ เช่น อายุของแมวขณะได้รับเชื้อ ระดับและประเภทภูมิคุ้มกันในร่างกาย สุขภาพทั่วไปขณะที่ได้รับเชื้อ รวมทั้งปริมาณและความรุนแรงของเชื้อไวรัส ที่จะส่งผลให้เกิดลักษณะและรูปแบบของการติดเชื้อที่แตกต่างกัน ได้แก่ การติดเชื้อเรื้อรังแมวที่ได้รับการสัมผัสเชื้อไวรัสโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบและมีระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายในระดับที่พอควบคุมโรคได้ แต่เมื่อแมวป่วยด้วยโรคที่ส่งผลยับยั้งระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายจะทำให้ก่อโรคและอาการต่างๆ การติดเชื้อแบบแห้ง (Dry form) แมวที่มีภูมิคุ้มกันชนิดเซลล์ในร่างกายค่อนข้างน้อย จะก่อให้เกิดอาการของโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบแบบก้อนในร่างกาย มีการพัฒนาโรคแบบช้าๆ และพบได้หลายตำแหน่ง อาการที่พบการติดเชื้อแบบแห้งมักไม่จำเพาะ ซึ่งได้แก่ ซึม เบื่ออาหาร มีไข้ น้ำหนักลด หากมีการอักเสบแบบก้อนในเนื้อเยื่อประสาท เช่นสมอง จะพบว่าแมวป่วยมีอาการด้านระบบประสาท เช่น เดินไม่สัมพันธ์กัน สั่น ชัก หรือสูญเสียการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ หากมีรอยโรคแบบก้อนในช่องท้อง อาจตรวจพบความผิดปกติของการทำงานของตับและไต นอกจากนั้นแมวบางรายอาจพบรอยโรคได้บริเวณนัยน์ตา แมวที่ป่วยด้วยรูปแบบนี้มักจะมีอายุยืนนานกว่าการติดเชื้อแบบเปียก การติดเชื้อแบบเปียก (Wet form) แมวที่มีระดับภูมิคุ้มกันชนิดเซลล์ในร่างกายระดับต่ำมากจะก่อให้เกิดอาการของโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบที่มีการคั่งของน้ำในบริเวณทรวงอกและช่องท้อง เนื่องจากการเสียสภาพของเส้นเลือดจึงมีส่วนประกอบของน้ำเลือดรั่วมาอยู่ในบริเวณดังกล่าว แมวที่ป่วยมักจะมีร่างกายผอม มีไข้ เบื่ออาหาร เลือดจาง ช่องท้องขยายใหญ่ขึ้น มีน้ำสะสมในช่องท้อง ในแมวบางรายอาจมีอาการหายใจลำบากเนื่องจากมีน้ำสะสมอยู่ในช่องอก แมวที่ป่วยในรูปแบบนี้มักจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาวนัก
การรักษาโรคแมว: แมวป่วยที่มีอาการต่างๆดังข้างต้น ควรเข้ารับการตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อวินิจฉัยแยกแยะออกจากความผิดปกติอื่นๆ ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ตรวจเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การทำงานต่างๆของตับและไต การตรวจระดับโปรตีนในกระแสเลือด การเจาะตรวจวิเคราะห์น้ำในช่องอกและช่องท้อง การตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ซึ่งต้องอาศัยการตรวจหลายๆวิธีร่วมกัน เป็นต้น สำหรับแมวที่ป่วยด้วยโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบควรแยกเลี้ยงจากแมวปกติอื่นๆ รวมทั้งวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ควรนำมาใช้ร่วมกัน ในการรักษาแมวป่วยด้วยโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบนั้นไม่มีวิธีที่เฉพาะเจาะจง การรักษาโดยทั่วไปกระทำโดยการรักษาตามอาการของแมวป่วย ได้แก่ การเจาะระบายน้ำในช่องท้องหรือช่องอก การให้สารน้ำและสารอาหาร การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการติดเชื้อแทรกซ้อน การให้ยากดภูมิคุ้มกัน การถ่ายเลือดในกรณีที่เลือดจางรุนแรง เป็นต้น




6. โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา หรือ Ringworm เป็นโรคที่พบได้บ่อยกับแมวโดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวที่มีขนยาวอย่างเช่นพันธุ์เปอร์เซีย เชื้อราที่ก่อโรคในแมวสามารถเกิดจากเชื้อราชนิดต่างๆคือ Microsporum gypseum, Microsporum canis, Trichophyton mentagrophyte โดยเชื้อรา Microsporum canis จัดเป็นเชื้อราที่ก่อโรคชนิดหลักในแมว เชื้อราเหล่านี้จะอาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นนอกของแมว รวมถึงบริเวณเล็บและเส้นขน โดยใช้เคอราตินของผิวหนัง เล็บและเส้นขนเป็นอาหารในการเจริญเติบโต ในแมวปกติบางตัวสามารถพบเชื้อราได้บนตัวแมวโดยไม่ก่อให้เกิดรอยโรค ส่วนมากแมวที่อายุยังน้อย แมวแก่ แมวป่วย แมวเครียด มักจะพบความผิดปกติ ทั้งนี้เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ไม่แข็งแรง ปกติแมวทั่วไปสามารถติดเชื้อราก่อโรคได้จากการสัมผัสกับแมวป่วยโดยตรง หรือสัมผัสกับสปอร์ของเชื้อราที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งสปอร์ของเชื้อราสามารถอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้เป็นเวลานาน
อาการป่วยของแมว: รอยโรคหลักๆที่สามารถพบได้คือ ขนร่วงแหว่งเป็นวงกลม ขอบเรียบ บางรายอาจจะสะเก็ดหรือมีอาการคันร่วมด้วย การตรวจวินิจฉัยแยกแยะของโรคเชื้อรานั้นวินิจฉัยเบื้องต้นจากลักษณะรอยโรคบนผิวหนัง การตรวจวินิจฉัยตัวอย่างเส้นขนหรือเนื้อเยื่อใต้กล้องจุลทรรศน์ การตรวจด้วยแสงฟลูออเรสเซนส์ การเพาะเชื้อรา การรักษาเชื้อราที่ผิวหนังของแมวสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้ยากินฆ่าเชื้อรา ยาทาเฉพาะที่ ยาจุ่มตัวหรือแชมพูยาฆ่าเชื้อรา การตัดขนแมวให้สั้นระหว่างการรักษา รวมถึงปัจจุบันมีวัคซีนเชื้อรามาใช้ร่วมกับการรักษาอีกด้วย
การรักษาโรคแมว:อย่างไรก็ตามการเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับลักษณะความรุนแรง รอยโรค อายุของสัตว์ เป็นต้น เชื้อราที่ผิวหนังของแมวจัดเป็นความผิดปกติที่สำคัญ ดังนั้นควรควบคุมโรคโดยการรักษาทั้งบนตัวแมวและทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมที่แมวอยู่อาศัย เนื่องจากสปอร์เชื้อราสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้เป็นระยะเวลานาน และที่สำคัญเชื้อราผิวหนังของแมวกลุ่มนี้ยังสามารถติดต่อสู่คนเลี้ยง โดยทำให้คนเลี้ยงสามารถแสดงอาการรอยโรคทางผิวหนังได้
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะคอยให้น้ำและอาหารแล้ว เจ้าของแมวควรดูแลสุขภาพและหมั่นสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของน้องเหมียวแสนรักด้วย หากพบความผิดปกติควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และควรพาน้องแมวไปรับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเพื่อนสี่ขาแสนรักของคุณให้แข็งแรงห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ สัตวแพทย์โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ สาขารามอินทรา กม.8 ฝากทิ้งท้าย

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  http://www.triptravelgang.com/health-beauty และ  http://picpost.mthai.com/tag

แมวดังวันนี้จากแฟนเพจ 'ทูนหัวของบ่าว'


       ตอนนี้ในเหล่าบรรดาคนรักแมวทั้งหลายคงยากที่จะไม่มีใครรู้จักเเฟนเพจ 'ทูนหัวของบ่าว'  ซึ่งตอนนี้มียอดไลค์ทะลุถึง 1 ล้าน 9 เเสนกว่าแล้ว  ด้วยความน่ารักของแมวแต่ละตัวที่ 'คุณนัชญ์   ประสพสิน' นั้นมีไว้เลี้ยงดูหลายตัว  จะมีตัวไหนบ้าง  ไปดูกันเลยค่าาาา

เสือโคร่ง & เสือสมิง  
จะบอกว่าคู่นี้มีลูกด้วยกัน 4 ตัว  ทุกตัวน่ารักแบ๊วลืมไปเลย


เสือโคร่ง กับ เสือชีตาร์ (คู่พ่อลูก) ที่เราทราบกันดี


เริ่มจากตัวหน้าสุดชื่อ เสือดาว –  สาวสวย หน้ากลม หูพับ ซนมากกกกกกกกกกกกกก แข็งแรงที่สุดในคอก โตเกินพี่น้อง เพราะขยันกินนมมาก
ตัวหลังด้านซ้ายชื่อ เสือดำ –  สาวสวยสุดอินดี้ ไม่ชอบกินนม ไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใด ชอบเล่นอะไรคนเดียว อย่ามาชวนเล่นนะ ไม่เล่นหรอก แต่ถ้าอยากเล่นเดียวเล่นคนเดียว
ตัวด้านขวาชื่อ เสือปลา –  ชายหนุ่มหนึ่งเดียวของบ้าน เรียบร้อย น่ารัก พี่น้องว่าไง พี่ว่าตาม


              ป้ามะลิ ผู้อาวุโสที่สุดในทุกตัว คุณบ่าวเก็บมาเลี้ยง เปลี่ยนจากแมวขี้เรื้อน เป็นแมวน่ารักอย่างที่เห็น  ขอชื่นชมจริงๆค่ะ


            เฮียอโศก  อดีตแมวเรร่อนแถวสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอโศก ที่คุณบ่าวนำมารักษาหลังถูกแมวตัวอื่นรุมกัด ต่อมาจึงถูกเลี้ยงไว้ ปิดตำนานแมวอโศกที่หลายคนคุ้นตาอยู่ที่สถานี้รถไฟอย่างสวยงาม       นับเป็นบุญของเฮียจริงๆเจ้าค่า


ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมและรูปภาพจาก  http://teen.mthai.com/variety/82268.html  และ           https://www.facebook.com/kingdomoftigers






10 อาหารต้องห้ามสำหรับน้องเหมียว ทาสแมวทั้งหลายจงจำไว้!!!!

1. ยาพาราเซตามอล          
           สำคัญมากเลยค่ะ เจ้าของควรรู้ไว้นะคะว่า หากว่าแมวของคุณป่วยเป็นไข้ หรือไม่สบาย ห้ามให้น้องแมวกินยาพาราเซตามอลเด็ดขาดค่ะ เนื่องจากพิษของพาราเซตามอลที่มีต่อแมว จะทำให้เกิดความผิดปกติในระบบเลือด ทำให้เลือดลำเลียงออกซิเจนไม่ได้ หลังรับยาเข้าไปใหม่ ๆ จะยังไม่แสดงอาการ แต่ต่อมาจะเริ่มมีอาการหอบ หน้าบวม ซึ่งหากได้รับในปริมาณไม่มาก สัตว์แพทย์ยังสามารถช่วยทันได้ แต่หากรับในปริมาณมาก ๆ แล้วนั้น สัตว์จะเสียชีวิตภายใน 24-48 ชั่วโมง

 2. หัวหอ กระเทียม องุ่นและลูกเกด

          หัวหอมไม่ว่าจะเอาไปผัด ทอด ลวกหรือทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้ากินมาก ๆ เข้าก็สามารถส่งผลเสียกับสุขภาพของแมวที่คุณรักได้ทั้งนั้น เพราะมันจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในตัว ส่งผลให้แมวของคุณมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ และอาจถึงขั้นเป็นโลหิตจางได้เลยทีเดียว นอกจากนี้กระเทียมและกุ้ยช่ายก็เป็นอีกอย่างที่ไม่ควรให้แมวของคุณทานเช่นกัน เพราะอาหารพวกนี้นี่แหละที่จะเป็นตัวการทำให้กระเพาะของมันมีปัญหา อีกทั้ง องุ่น และลูกเกดนั้นก็เป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกันเพราะจะทำให้แมวคลื่นเหียน อาเจียนออกมา และมีอันตรายต่อตับ 




 3. ผลิตภัณฑ์จากนมวัว

          ถึงเรามักจะเห็นภาพที่แมวกินนมตามภาพยนตร์หรือการ์ตูนกันจนคุ้นตา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นของที่ควรเอามาให้เจ้าเหมียวที่คุณรักกินกันบ่อย ๆ หรอกนะ เนื่องจากแมวส่วนใหญ่โดยเฉพาะลูกแมวนั้นยังไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวได้ดีพอ ทำให้ท้องเสียได้ หากจำเป็น ควรใช้นมแพะ หรือนมสำหรับแมวที่ไม่มีแลคโตส จะดีกว่า

 4. แอลกอฮอลล์

          เก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทั้งหลายเอาไว้ใช้สังสรรค์กับเพื่อน ๆ ก็พอแล้ว อย่าเอามาให้สัตว์เลี้ยงของคุณกินด้วยเลยจะเสียของซะเปล่า ๆ ..เอ้ย ไม่ใช่ จะเป็นอันตรายกับสุขภาพของมันต่างหากล่ะ!! เพราะแอลกอฮอลล์จะเข้าไปทำลายระบบการทำงานของตับและสมองของมัน โดยเพียงแค่วิสกี้ 2 ช้อนโต๊ะก็สามารถทำให้แมวน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัมเข้าขั้นโคม่าได้ง่าย ๆ แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าให้แมวกินของพวกนี้เด็ดขาด แม้กระทั่งอาหารที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ก็ไม่ควรนะคะ

 5. ช็อคโกแลต

          หลาย ๆ คนอาจคิดว่าการให้ช็อคโกแลตกับแมวที่ตัวเองเลี้ยง เป็นเหมือนการให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยขนมกับมัน แต่ที่จริงแล้วคุณกำลังเอายาพิษให้มันกินโดยไม่รู้ตัวต่างหาก เพราะช็อคโกแลตนั้นเป็นอันตรายต่อแมวอย่างร้ายแรง โดยสารธีโอโบรมีนที่มีอยู่ในช็อคโกแลตทุกชนิด โดยเฉพาะดาร์กช็อคโกแลตนั้นจะเข้าไปทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ใจสั่น ลมชัก และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว


 6. ลูกอมและหมากฝรั่ง

          ขนมทานเล่นจำพวกลูกอมหรือหมากฝรั่งมักมีสารไซลิทอลปนอยู่ด้วย ซึ่งมันจะไปกระตุ้นการผลิตอินซูลินจนทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว หนำซ้ำยังก่อให้เกิดอาการตับวายและอาเจียนได้อีกต่างหาก โดยอาการพวกนี้ไม่ต้องรอนาน เพียงแค่ 2 - 3 วันก็จะเริ่มมีอาการผิดปกติออกมาให้เห็นแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้แมวที่คุณรักกินของพวกนี้เด็ดขาดนะคะ

 7. เนื้อติดมันหรือกระดูก
          เข้าใจดีว่าบางคนก็ชอบทิ้งเนื้อติดมันหรือกระดูกให้สัตว์เลี้ยงกินแทน เพราะคิดว่าอย่างไรซะก็คงดีกว่าทิ้งไปให้เสียของแน่ ๆ แต่ที่จริงแล้วคุณไม่ควรให้พวกมันกินของพวกนี้หรอกนะคะ เพราะพวกเนื้อติดมันนั้นจะทำให้แมวท้องเสียหรืออาเจียนได้ง่าย ๆ ในขณะเดียวกันกระดูกก็จะสร้างปัญหาในระบบขับถ่าย และอาจทำให้แมวของคุณสำลักได้เช่นกัน


 8. ไข่ดิบ + ปลาดิบ

          เวลาที่คุณให้แมวทานไข่ดิบ ๆ จะทำให้เจ้าเหมียวต้องเผชิญความเสี่ยง 2 อย่างในเวลาเดียวกัน อันดับแรกก็คือมันอาจจะต้องเสี่ยงกับแบคทีเรียอีโคไลซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ และอีกอย่างก็คือไข่ดิบนั้นจะทำให้ความสามารถในการดูดซึมวิตามินบีของร่างกายลดลง จนทำให้ขนของมันไม่เงางามเหมือนเก่านั่นเอง นอกจากนี้พวกเนื้อหรือปลาดิบก็ไม่ควรทานด้วยเหมือนกันนะคะ

 9. ตับ

          ถ้ากินในปริมาณน้อย ๆ ก็ยังพอไหว แต่ทานมาก ๆ คงไม่ดีแน่ เพราะการทานตับมาก ๆ นั้นจะเป็นพิษต่อการซึมซับวิตามินเอในร่างกาย จนทำให้แมวของคุณเกิดอาการกระดูกเปราะเอาได้ง่าย ๆ และอาจก่อให้เกิดความผิดปกติในการเติบโตของกระดูกอีกด้วย รู้แบบนี้แล้วก็ควรระวังอย่าให้มันทานเยอะเกินไปนะคะ แค่นาน ๆ ครั้งก็พอแล้ว

 10. ชา กาแฟ เครื่องดื่มคาเฟอีน

          และแล้วก็มาถึงอย่างสุดท้ายซึ่งก็คือคาเฟอีนนั่นเอง โดยคาเฟอีนนั้นส่งผลเสียกับร่างกายของแมวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เกิดอาการใจสั่น หายใจถี่ และเกิดกล้ามเนื้อสั่นเกร็ง ซึ่งอาหารที่เต็มไปด้วยคาเฟอีนนั้นก็ได้แก่พวกเครื่องดื่มต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ เช่น น้ำอัดลม กาแฟ โกโก้ ชา รวมไปถึงเครื่องดื่มชูกำลังนั่นเอง




          รู้แบบนี้แล้ว ต่อไปก็พยายามระมัดเรื่องอาหารการกินของมันให้มาก ๆ เพื่อให้เจ้าเหมียวที่คุณรักสุขภาพแข็งแรงอยู่กับคุณได้นาน ๆ ด้วยนะคะ


ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลดีดีจาก  http://pet.kapook.com/view49345.html